
กำไรมั่นคง บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น หรือ ILINK ประกาศความสำเร็จผลประกอบการ ประจำปี 2567 ทำรายได้จากยอดขายรวมตลอดปีทั้ง 3 ธุรกิจหลักรวม 6,772 ล้านบาท ทำกำไรสุทธิ 744 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4.43% ตอกย้ำกลยุทธ์ “Quality Growth” หรือ การเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ คาดการณ์ตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 2025 แตะ 7,120 ล้านบาท

วันนี้ (28 ก.พ.68) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ประกาศผลประกอบการปี 2567 พร้อมแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลากว่า 38 ปี อาศัยหลักอุดมการณ์ของผู้ก่อตั้งที่ “มุ่งนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย”ส่งผลให้ธุรกิจด้านโครงข่ายและการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารขยายตัวแข็งแกร่งในตลาด ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ILINK ยังคงเสริมสร้างระบบโครงข่าย เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัล ทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชีย สำหรับรายได้รวมในปี 2567 มีการเติบโตโดดเด่นจาก 3 ธุรกิจหลักในเครือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business) ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโครงข่ายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง/ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากโครงการภาครัฐ และเอกชน/ธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom Business & Data Center) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งผลทำให้ภาพรวมของทั้ง 3 ธุรกิจในเครือสำหรับไตรมาสนี้ สามารถดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย มีความแข็งแกร่งด้านกำไรที่เติบโตได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน โดยทำรายได้รวม 6,772 ล้านบาท ถึงแม้จะมีรายได้รวมลดลง 2.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่สามารถทำกำไรสุทธิเติบโตอย่างมีคุณภาพตามเป้าประสงค์ 744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น4.43%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มีอัตราส่วนกำไรบวกคิดเป็น 10.98%หรือ เพิ่มขึ้น 7.4% อีกทั้งสามารถทำกำไรในส่วนของบริษัทฯใหญ่โต 564 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 6.22%
สำหรับปี 2025 INTERLINK GROUP ได้ตั้งเป้าหมาย รายได้รวมที่ 7,120 ล้านบาทพร้อมกำหนดเป้าหมายกำไรสุทธิให้ไม่น้อยกว่า 9% ของรายได้ โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นกลยุทธ์การดำเนินงานที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เสริมศักยภาพ และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนดังนั้นการดำเนินธุรกิจในปี 2025 จึงเป็นไปภายใต้แนวทางการขยายตัวเชิงคุณภาพ ที่ไม่เพียงแต่สร้างผลกำไร แต่ยังเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย

Keys Driven for INTERLINK’S Business Growth’ 2025 มี ดังต่อไปนี้
1. Technological Advancements
2. Green Energy & Solar Roof Policy
3. Hyper Scale Data Center Investments
4. Hyper Scale Submarine Cable Investments by PEA & EGAT
5. Fiber Optic Network Expansion by NBTC
6. AI Technology
7. Recovery of Tourists
8. Government Budget increase of 7.8%
9. Technology Transformations
ด้านรายได้รวมของกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Import & Distribution Business) มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดกว่าปีก่อนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ทำรายได้รวมประจำปี 2567 อยู่ที่ 3,108ล้านบาทเพิ่มขึ้น 7.9%กอบโกยกำไรสุทธิรวม 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.66%
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตราส่วนกำไรได้ 11.63% ดีขึ้น 8.12%สำหรับปี 2025 วางแผนตั้งเป้าในกลุ่มธุรกิจนี้ให้กอบโกยรายได้รวมอยู่ที่ 3,420 ล้านบาทพร้อมกับทำอัตรากำไรสุทธิต้องไม่น้อยกว่า 9%เช่นกัน จากการเป็นผู้นำในตลาดระบบสายสัญญาณของประเทศไทย และยังคงมีระบบการบริหารการจัดจำหน่ายที่เป็นที่ยอมรับของลูกค้าอย่างกว้างขวาง ประกอบกับทางเจ้าของผลิตภัณฑ์ LINK American Cabling และ GERMAN RACK ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับ Technology ที่เปลี่ยนไป และยังออก Solution ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทำให้สามารถมั่นใจได้ว่าธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ จะสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในยุคของเทคโนโลยี AI อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้ขยายคลังสินค้าให้รองรับอนาคต และปรับระบบการให้บริการ เพื่อตอบโจทย์การแข่งขัน และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่า และซื้อซ้ำมากกว่า 15,000 ราย ทำให้มั่นใจได้ว่า ในปี 2025 นี้ บริษัทจะโตตามทิศทางของเทคโนโลยีต่อไป โดยที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีที่ผ่านมาและเตรียมจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ดังต่อไปนี้
New Innovation Products Launch’ 2024Expanding the Products Line’ 2025
1. Super-S Series, UTP CAT 6A Solution6. LINK Data Center Interconnect Solution
2. Super-S Series, FTTR Solution7. Double Q Series, F.O Pigtail & Patch Cord
3. AD8 Certificate, SOLAR Cable Solution8. Control Cable, LiYCY & BAS Cable
4. LINK TRANSCEIVER CLINIC for ALL9. Security Cable, Fire Alarm & FRC Cable
5. NEW GERMAN RACK for Data Center
สำหรับธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) ทำรายได้รวมจากการรับรู้รายได้ทั้งหมดในปี 2567 อยู่ที่ 953 ล้านบาท ลดลง 28.28% ทำกำไรสุทธิรวม 58 ล้านบาท หรือ ลดลง 45.48% ถึงแม้การรับรู้รายได้รวมจะลดลงจากปีที่แล้วเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน จากอัตรากำไรที่ต่ำกว่าเป้าหมาย เกิดจากค่าใช้จ่ายค่าประกันภัยที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการตรวจรับงานล่าช้าประมาณ 34 ล้านบาทพร้อมกันนี้งานที่ยังคงรอการรับรู้รายได้ หรือ มี Backlog ในมือ (30 ธันวาคม 2024) อยู่ที่ 195.02 ล้านบาท และคาดว่าจะมีงานโครงการฯ ที่ได้เข้าเซ็นต์สัญญาในปี 2025 เพิ่มอีก 2,271.71 ล้านบาท
นับว่างานวิศวกรรมโครงการในปี 2025 ยังเป็นปีแห่งโอกาส เพราะ IPOWER ได้มุ่งเน้นทำงานที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ โดยยังคงตั้งเป้าหมายจะเป็นผู้นำอันดับ 1 ในงานโครงการ Submarine Cable ประกอบกับหน่วยงานการไฟฟ้า 2 แห่ง ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ลงทุนขยายงานโครงการสายใต้ทะเล โดยประกาศประกวดราคาโครงการ Submarine Cable เพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงไปยังเกาะสมุย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ กฟภ. 115KV. จ่ายไฟไปยังเกาะสมุยงบประมาณ 1,800 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ชนะการประกวดราคาไปแล้ว แต่ยังรอการประกาศผลให้เป็นผู้ชนะ เพราะมีกระบวนการที่บริษัทฯ คู่แข่งไปร้องต่อศาลขอให้ชะลอโครงการฯ ซึ่งบริษัทฯมั่นใจว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับการประกาศผลให้เข้าเซ็นต์สัญญาในปี 2568 นี้ อีกทั้ง คาดหมายว่าประมาณกลางปี 2568 EGAT จะมีการประกาศประกวดราคา โครงการ EGAT 230KV. จ่ายไฟไปยังเกาะสมุย มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท อีกด้วย
ในส่วนของผลประกอบการของธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ทำรายได้รวมในปี 2567 อยู่ที่ 2,711ล้านบาท ลดลง 1.6%กอบโกยกำไรสุทธิ 324 ล้านบาท เพิ่มขึ้น9.55% พร้อมทำอัตราในกำไร 11.96% ดีขึ้น11.34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากมีกำไร Extra Gain จากการขาย ETIX ITEL Bangkok และ ผันตัวมาเป็น Cloud Implementation
โดย ธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติกทั่วประเทศ และให้บริการวงจรเช่าการสื่อสารความเร็วสูงผ่านโครงข่ายสายไฟเบอร์ออฟติกทั่วไทย ในเวลาต่อมาได้ Spin off ธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ในนาม บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยใช้ชื่อย่อใน ตลท.ว่า “ITEL” เพื่อต่อยอดธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ให้เติบโตต่อเนื่องและตลอดไป อีกทั้งบริษัทฯยังได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทีมวิศวกรกว่า 300 คน ซึ่งมีหน่วยงานบำรุงรักษาโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติกของ INTERLINK FIBER OPTIC ที่กระจายอยู่ทั้งประเทศไทยกว่า 38 แห่ง ให้ไปรับเหมางานโครงการติดตั้งโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก และดูแลรักษาสายไฟเบอร์ออฟติกให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงาน กสทช. (USO), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, การประปาภูมิภาค, กสทช, TRUE, AIS, การประปาภูมิภาค, ธนาคารรัฐ และเอกชนทุกแห่งรวมทั้งหน่วยของความมั่นคงของรัฐ ได้แก่ กองทัพไทย, กองทัพอากาศ, กองทัพบก, กองทัพเรือ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น อีกทั้งยังได้ต่อยอดธุรกิจโทรคมนาคมด้วยการลงทุนสร้าง INTERLINK DATA CENTER เพื่อให้บริการรับฝากข้อมูลและจัดการดูแลความปลอดภัยข้อมูลให้กับลูกค้าธนาคาร และบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่อีกด้วย โดยในเวลาต่อมายังได้นำประสบการณ์ และความน่าเชื่อถือขององค์กรไปต่อยอดธุรกิจด้วยการเป็นพันธมิตรกับ ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ข้ามชาติ (Hyper Scale Data Center) อีกมากมาย และภายใต้การบริหารของผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีความรู้และความสามารถ ทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และก้าวเป็นบริษัทฯที่ได้รับการยอมรับและกล่าวขวัญถึงว่าเป็นบริษัทที่มีอนาคตในวงการเทคโนโลยีที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยอีกด้วย

นับว่าเป็นเครื่องยืนยันถึงความแข็งแกร่งของทั้ง 3 ธุรกิจ ด้วยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ (Keys Driven Factors) ที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ INTERLINK GROUP และมีความมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ในปีถัดไป อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะยังคงให้ความสำคัญกับ “การเติบโตอย่างมีคุณภาพ” ซึ่งหมายถึงการขยายธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้รวม และทำกำไรสุทธิในอัตราที่สมดุลต่อไป
พร้อมกันนี้ คาดการณ์อนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการประจำปี 2567 การจ่ายปันผลน่าจะเป็น New High อีกครั้งหนึ่ง