นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการให้ข้อมูลราคาขายปลีกสินค้าอุปโภค – บริโภค และราคาวัสดุก่อสร้าง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับ 15 ผู้ประกอบรายสำคัญของประเทศ ประกอบด้วย 1) สมาคมผู้ค้าปลีกไทย 2) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 3) บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) 4) บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด 5) บริษัท ซี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด 6) บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด 7) บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) 8) บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด 9) บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) 10) บริษัท ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาเก็ต จำกัด 11) บริษัท เมกา โฮม เซ็นเตอร์ จำกัด 12) บริษัท อิออน (ไทยแลนด์) จำกัด 13) บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด 14) บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด และ 15) บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ห้องประชุมบุรฉัตรไชยากร ชั้น ๔ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์
นายนภินทร กล่าวว่า ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและกระทรวงพาณิชย์ฉบับนี้ จะช่วยพัฒนาการจัดทำดัชนีเศรษฐกิจการค้าที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินมามากกว่า 80 ปี ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับการทำงานอย่างสร้างสรรค์ และสอดคล้องกับนโยบายที่ได้ให้ไว้ คือ เร่งทำงานเชิงรุก ให้มีความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ลดข้อจำกัดในการทำงาน และการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน สำหรับวัตถุประสงค์หลักในการร่วมมือฯ เพื่อพัฒนาการจัดทำดัชนีเศรษฐกิจการค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญและเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจากเดิมที่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลจำนวนมากตามห้างร้านต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลโดยตรงจากผู้ประกอบการ โดยใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความอนุเคราะห์จากผู้ประกอบการ ทำให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว และลดกระบวนการทำงาน แต่ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานในการจัดทำดัชนีเศรษฐกิจการค้าระดับสากล
นอกจากนี้ ความร่วมมือในครั้งนี้ ยังเป็นตัวอย่างของความสำเร็จที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายเพราะแนวคิดของรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการลดอุปสรรค โดยแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจการค้า ดังนั้น สิ่งไหนที่ทำได้จะทำทันที และหลีกเลี่ยงการสร้างความยุ่งยากในการทำงานให้กับภาคเอกชน สิ่งไหนที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานให้เกิดผลลัพธ์แบบใหม่ ต้องกล้าคิดและลงมือทำ โดยมองว่าความท้าทายในการทำงานทุกวันนี้ คือ ทำอย่างไรให้รวดเร็ว ง่าย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยใช้ศักยภาพของความร่วมมือระหว่าง 2 ฝ่าย และเทคโนโลยี ทำให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
รมช. พาณิชย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การยกระดับการจัดทำดัชนีเศรษฐกิจการค้าในครั้งนี้ จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศเป็นอย่างมาก เพราะ 2 ดัชนี ที่จะได้รับข้อมูลจากผู้ประกอบการนั้น ถือเป็นตัวชี้วัดที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งจะนำไปคำนวณอัตราเงินเฟ้อ เป็นหัวใจหลักในการวัดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และเชื่อมั่นว่าการพัฒนาเครื่องชี้วัด ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะทำให้รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์สามารถดูแลค่าครองชีพอย่างถูกจุด รวดเร็ว และใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าอันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในที่สุด โดยกระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย นำเข้า ครม.เพื่อกำหนดกรอบเป้าหมายการดำเนินนโยบายการเงินในแต่ละปี และนำมาใช้ในการกำหนด การปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำไปประกอบการจัดทำ GDP และกระทรวงแรงงานนำไปประกอบการจัดทำอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างถูกใช้เป็นราคาอ้างอิงสำหรับการจัดทำราคากลางการก่อสร้างภาครัฐ กระทรวงพาณิชย์มีความมุ่งมั่นที่จะอำนวยความสะดวกให้ภาคการค้าและการลงทุนให้มีความสะดวกรวดเร็ว และเชื่อว่าการพัฒนาครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมให้การลงทุนก่อสร้างภาครัฐมีความพร้อมมากขึ้น และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางด้านต้นทุน อันจะนำไปสู่การเร่งลงทุนและการจ้างงาน ทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2567 และ 2568 ที่กระบวนการทางงบประมาณต่าง ๆ จะกลับเข้าสู่ระดับปกติ มีโครงการสำคัญของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง