นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีประกาศผลและมอบรางวัล สุดยอด SME แห่งชาติ ครั้งที่ 15 โดยมี นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมทั้งสื่อมวลชนจำนวนมาก ร่วมแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลในพิธีมอบรางวัล ณ ซีดีซี บอลรูม คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ
นายสุพัฒนพงษ์ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับรางวัลว่า การส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี เป็นภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลมาโดยตลอด เนื่องจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยมีมูลค่า 6,105,604 ลานบาท คิดเปนสัดสวน 35.2% ของ GDP รวม ในปี 2565 รัฐบาลได้บูรณาการให้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันส่งเสริม สนับสนุน เอสเอ็มอีไทย ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น โดยมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล โดยการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือของภาครัฐผ่านโครงการต่าง ๆ ที่พร้อมให้การสนับสนุนตั้งแต่ระดับฐานราก และในทุกช่วงวงจรธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาความสามารถของผู้ประกอบการ การยกระดับทักษะแรงงานสมัยใหม่ การพัฒนาผลิตภาพและประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนามาตรฐาน รวมไปถึงการเข้าถึงช่องทางการตลาดสมัยใหม่ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม ในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยอีกว่าในวันนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีที่ได้มาพบกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เป็นต้นแบบที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมที่จะเป็นแบบอย่าง และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี อื่น ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเวทีการประกวดรางวัลนี้เปิดกว้างให้ทุกท่านได้เรียนรู้ตนเอง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงการสร้างเครือข่ายทางการค้า ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อไป
นายวีระพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจที่สำคัญของ สสว. คือ การสรรหาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ตามมาตรฐานที่ดี มีความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาล เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายอื่น ๆ รวมถึงการต่อยอดและขยายโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ได้รับรางวัลสามารถสร้างรายได้และเพิ่มยอดขายของธุรกิจเอสเอ็มอีได้
การมอบรางวัลในปีนี้ มีการมอบรางวัลพิเศษให้แก่
1. SME ที่ให้ความสำคัญต่อนวัตกรรม มีการบริหารจัดการด้านนวัตกรรมในองค์กร และมีผลงานนวัตกรรมในการปรับปรุงกระบวนการ/ผลิตภัณฑ์/บริการให้ดีขึ้น โดดเด่นเป็นรูปธรรม
2. SME ที่ให้ความสำคัญในการนำแนวคิด BCG มาเป็นตัวขับเคลื่อนให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับสังคมและสิ่งแวดล้อม
3. SME ที่ให้ความสำคัญต่อการสร้างคุณค่าร่วม (Shared Value) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่เชื่อมโยงการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับ การสร้างคุณค่าทางสังคม เพื่อนำไปสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันขององค์กร ซึ่งไม่เพียงแต่เน้นการพัฒนา ที่ยั่งยืนในระยะยาว แต่มุ่งเพิ่มเติมคุณค่าให้ทั้งต่อผู้ถือหุ้น คุณภาพชีวิตของพนักงานในองค์กร ชุมชน ผู้บริโภค และสังคมโดยรวม
สำหรับการประกวดปีนี้ มีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมการประกวดรางวัล จำนวน 709 ราย โดยมีผู้ประกอบการผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์การตัดสินที่กำหนดไว้ได้รับรางวัล จำนวน 40 ราย ได้แก่ รางวัลสุดยอด SME แห่งชาติ จำนวน 17 ราย รางวัล SME ดีเด่น จำนวน 23 ราย และยังมีการมอบรางวัลพิเศษ เพื่อสร้างความภาคภูมิใจ อีก 6 รางวัล ได้แก่ รางวัลสุดยอด SME แห่งชาติ ยอดเยี่ยม มอบให้สำหรับผู้ประกอบการที่มีผลคะแนนรวมสูงสุดในปีนี้ รางวัลสุดยอด SME แห่งชาติ 3 ปีซ้อน 2 รางวัล รางวัล SME โดดเด่นด้านนวัตกรรม 1 รางวัล รางวัล SME โดดเด่นด้าน BCG 1 รางวัล และรางวัล SME โดดเด่นด้านการสร้างคุณค่าต่อสังคม และการเติบโตอย่างยั่งยืน อีก 1 รางวัล
รายงานข่าวเผยว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลปีนี้ สามารถสร้างมูลค่ายอดขายในประเทศ ที่เพิ่มขึ้นกว่า 500 ล้านบาท และสามารถสร้างมูลค่าจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นได้ 1.9 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อม ไปสู่ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสะท้อนบทบาทของเอสเอ็มอีไทยได้อย่างชัดเจน