กลุ่ม​ BGSR โดย BTS และกลุ่ม GULF ลงนามสัญญา PPP 30 ปีเพื่อดำเนินงานและบำรุงรักษาทางหลวงหมายเลข M6 ​​และ M81 กับกรมทางหลวงไทย 

ล่าสุด ผู้เขียนทราบจากเว็บไซต์ของ BTS ว่า สิ้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา กลุ่มกิจการร่วมค้า BGSR นำโดย BTS และกลุ่ม GULF (BTS ถือหุ้น 40%, Gulf Energy ถือหุ้น 40%, STECON Sino-Thai ถือหุ้น 10%, Ratch Group ถือหุ้น 10%) ได้ลงนามในสัญญา PPP 30 ปีสำหรับการดำเนินงานและบำรุงรักษาทางหลวงหมายเลข M6 ​​และ M81 กับกรมทางหลวงไทย

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา ตัวแทนจากกลุ่มกิจการร่วมค้า BGSR กล่าวว่า “นี่เป็นโครงการ PPP พัฒนาทางหลวงแห่งแรกของประเทศไทย และเป็นกลยุทธ์การพัฒนาทางหลวงที่จะส่งเสริมทั่วประเทศในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กิจการร่วมค้า BGSR จะดำเนินการบริหารและบำรุงรักษาทางหลวงหมายเลข M6 และ M81 คาดว่าโครงการจะเริ่มก่อสร้างในปี 2564 ซึ่ง BGSR จะได้รับผลตอบแทนประมาณ 39 พันล้านบาทจากการให้บริการการดำเนินงานและการก่อสร้าง

ในเวลาเดียวกัน บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2  จำกัด แห่งประเทศจีนได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนว่า บริษัท ประสบความสำเร็จในการลงนาม “โครงการ EPC การก่อสร้างโยธาของโครงการก่อสร้างทางยกระดับทางหลวงระหว่างเมือง M6 และ M81” กับบริษัท STECON ผู้ถือหุ้นรายย่อยของกลุ่ม BGSR (ถือหุ้น 10%) โดยสัญญาจ้างเหมาช่วงนี้มีมูลค่าสูงถึง “6.01 พันล้านบาท หรือประมาณ 1.28 พันล้านหยวน” ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 ยังระบุว่า: “โครงการ EPC วิศวกรรมโยธาสถานีเก็บค่าผ่านทางทางหลวง M6 ​​และ M81 เป็นโครงการแรกของ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 ในการรุกบุกตลาดไทย ซึ่งเป็นความสำเร็จในการเปิดตลาดไทยโดยไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2”

จากข้อมูลข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าการรายงานสองฉบับในโครงการเดียวกันนั้นเต็มไปด้วยประเด็นปัญหาความขัดแย้งและมีการซ่อนเงื่อนอย่างมากมาย

ประเด็นที่ 1: รูปแบบของโครงการแตกต่างกัน

เราจะเห็นได้ว่าโครงการ PPP ได้กลายเป็นโครงการ EPC ตามรายงานข่าวของปากของ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 ซึ่งรูปแบบโครงการทั้งสองนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพราะในเรื่องการลงทุน

ประเด็นที่2: “พิธีลงนามรับช่วง” ไม่มีนัยสำคัญในทางปฏิบัติ

STECON ถือหุ้นเพียง 10% ใน กลุ่มกิจการร่วมค้า BGSR ซึ่งไม่สามารถทำหน้าที่แทน BGSRได้ ในขณะเดียวกันสัญญารับช่วงระหว่าง ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 และผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของกลุ่ม BGSR ขัดแย้งกับแนวทางการประกวดราคาของ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และไม่มีผลทางกฎหมาย

ประเด็นที่ 3: มีการบิดเบือนความจริง

จากการตรวจสอบพบว่า ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในประเทศไทย(ต้องตรวจสอบต่อว่าบริษัทที่ปรากฎตามลิงนี้ https://www.dataforthai.com/company/0105561184911/ใช่ของ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2หรือไม่)แต่สำหรับกิจการการก่อสร้างโยธา กระทรวงพาณิชย์ของไทยมีกฎระเบียบที่ชัดเจนว่า ต้องจดทะเบียนบริษัทท้องถิ่นจึงจะสามารถดำเนินการได้  ดังนั้น สัญญารับเหมาช่วงจะไม่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของไทย และการกระทำดังกล่าวยังขัดแย้งกับแผนการก่อสร้างที่จะเริ่มอย่างเป็นทางการภายในปีนี้ ตามที่ที่กลุ่มกิจการร่วมค้า BGSR ระบุ

จากการตรวจสอบดังกล่าว เราจะเห็นได้ว่า การกระทำของ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 นั้นไร้สาระโดยสิ้นเชิง โดยไม่มีความถูกต้อง หรือความน่าเชื่อถือใดๆ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อตลาดโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยมีมหาศาล การกระทำของ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 ได้ทำลายระเบียบปกติของตลาดโครงสร้างพื้นฐานของไทยอย่างรุนแรง โดยใช้โครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลไทยเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 มีความพยายามที่จะโฆษณาว่าได้บรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในบริบทของ One Belt and One ของจีน แต่กลับทำร้ายผลประโยชน์ของชาติไทยไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว

ในโครงการ M6 ​​และ M81 ที่เป็นโครงการ PPP ความตั้งใจที่แท้จริงของรัฐบาลไทยคือการระดมเงินทุนจากประชาชนและนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ และการพัฒนาสังคมผ่านโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 ได้หลอกลวง STECON เพื่อลงนามในข้อตกลงล้วนเพื่อผลประโยชน์ตนเอง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐวิสาหกิจที่ขาดความรับผิดชอบของจีนที่อ้าง”ตอบสนองต่อข้อริเริ่มBRI ของรัฐบาลจีน” โดยอ้างว่าตัวเองประสบความสำเร็จในการทำโครงการ  แม้แต่พูดโกหกเรื่องขนาดของโครงการ (ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีนี้เป็นต้นมา อัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง RMB กับไทยบาท สูงกว่า 5:1 และในวันที่ 18 พฤศจิกายนก็สูงถึง 5.3 แต่ตามข่าวของไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2สังเกตได้ว่าเขาใช้ 1:4.69 เพิ่ม “มูลค่าสัญญา” เป็น 1.28 พันล้านหยวนอย่างเหลือเชื่อ) 

ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 ในฐานะที่เป็นสมาชิกสำคัญของ China Railway Group ซึ่งเป็นสมาชิกลำดับที่ 35 ของ 500 บริษัทชั้นนำของโลก การกระทำดังกล่าวทำให้รู้สึกน่าอับอายใจมาก องค์กรดังกล่าวประสบความสำเร็จในการรุกบุกตลาดต่างประเทศ แต่การกระทำที่เกินจริงเช่นนี้ ทำให้คนนอกสงสัยศักยภาพไม่ได้

ช่วงหลายปีมาปีนี้ประเทศไทยได้มีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เรายังเห็นว่ารัฐบาลไทยกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อส่งเสริมการพัฒนาของประเทศไทย ผู้เขียนเชื่อว่ายิ่งช่วงเวลาแบบนี้เรายิ่งควรรักษาจิตวิญญาณแห่งการแสวงหาความจริงและการปฏิบัติจริงให้มากขึ้น มีเพียงความซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนที่แท้จริงได้

ขณะที่วิพากษ์วิจารณ์ บริษัทอย่างไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 2 ที่ทำงานเน้น”สโลแกน”แบบนี้ เราต้องยอมรับด้วยว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทจีนจำนวนมากได้มีส่วนสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยอย่างมาก และความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของประเทศไทย ส่วนหนึ่งเป็นการทำงานหนักของบริษัทเหล่านี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะดีขึ้นไปกว่านี้หลังผ่านพ้นวิกฤต โควิด 19 ด้วยความพยายามของทุกคน

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published.