‘มงคลกิตติ์’ ห่วงคนไทยหลังสงกรานต์ ขอให้ไปตรวจเชื้อโควิด – 19  ด่วน พร้อมลุยหาเสียงทั่วประเทศ หลังจากหายโควิด

‘มงคลกิตติ์’ ห่วงคนไทยหลังจากกลับสงกรานต์ ร้องขอให้ไปตรวจหาเชื้อโควิด – 19  ด่วน ชี้ขณะนี้ โควิดสายพันธุ์ใหม่ อาร์คทูรัส’ กำลังระบาด – เผยหลังจากหายโควิด เตรียมลุยหาเสียงทั่วประเทศ อ้อนชาวบ้าน 34 จังหวัดที่พรรคไทยศรีวิไลย์ ส่ง ส.ส.เขต ช่วยเลือกทั้งคนทั้งพรรค เพื่อผลักดันให้มีโอกาสชิงเก้าอี้นายกฯ ในขั้นตอนการประชุมสภาฯ

นายมงคลกิตติ์  สุขสินธารานนท์  หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวแสดงความเป็นห่วงประชาชน ภายหลังจากที่ไวรัสโควิด – 19 เริ่มกลับมาระบาดอีกว่า ตนมีความเป็นห่วงประชาชน ที่กลับมาจากการฉลองเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ ซึ่งขณะนี้มีข่าวแพร่หลายในหลายๆ สำนักข่าวว่า ไวรัสโควิด – 19 กลับมาระบาดอีกครั้ง โดยเป็นโควิดสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 หรือถูกเรียกสั้นๆ ว่า ‘อาร์คทูรัส’ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า โควิดอาร์คทูรัส จะเป็นเชื้อโควิดสายพันธุ์หลักที่ครองโลกในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากสามารถแพร่ติดเชื้อได้เร็วขึ้นกว่าเดิมเพราะฉะนั้น ด้วยความห่วงใยจากตนที่ขณะนี้กำลังฟื้นตัวจากการติดไวรัสฯ โดยขอให้กลับมาถึงบ้านแล้ว รีบไปตรวจ ATK โดยเร็วที่สุด ซึ่งถ้าผลตรวจพบว่า ติดไวรัสแล้ว ก็ขอให้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และหากใครที่ยังไม่ได้ไปฉีดวัคซีน หรือมียังฉีดไม่ครบ 4 เข็ม ก็ขอให้รีบไปยังโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป  อย่างไรก็ตาม พรรคไทยศรีวิไลย์เอง ก็มีนโยบายที่มารองรับหากเกิดเหตุไม่คาดฝันจากการติดไวรัสโควิดก็คือ  โครงการรับประกันชีวิตทุกชีวิตที่เกิดเป็นคนไทย ถ้าเสียชีวิตทุกเหตุการณ์ ทุกกรณี ทุกโรคจะได้รับเงิน 500,000 บาท เพราะถือว่า ชีวิตทุกคนมีค่าที่ต้องดูแล โดยเฉพาะหากเสียชีวิตจากการระบาดของไวรัสโควิด – 19 ซึ่งที่ผ่านมา ได้พรากเสาหลักของครอบครัวไปจำนวนไม่น้อย ทำให้คนในครอบครัวปรับตัวไม่ทัน แต่ถ้ามีการเปิดรับประกันชีวิตคนไทย โดยบริษัทรับประกันอาจจะใช้วิธีการเดียวกันกับธนาคารออมสิน คือรัฐบาลเป็นประกันสำหรับหน่วยงานที่จะดำเนินการในโครงการดังกล่าว โดยนโยบายนี้จะใช้เงินประมาณปีละ 250,000 ล้านบาท แล้ว ถือว่าเป็นหลักประกันสำคัญเมื่อเหตุเกิดไม่คาดฝัน และสำหรับนโยบายการรักษาพยาบาลของพรรคไทยศรีวิไลย์ ตนเห็นว่า จะต้องมีการพัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ให้มีศักยภาพมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากจะให้ค่าตอบแทนเดือนละ 3,000 บาท และจะต้องทำให้ประชาชนที่มารับการรักษาได้รับการรักษาที่ดีมีคุณภาพ โดยที่จะไม่ต้องพบกับปัญหาต่างๆ ตามที่เป็นข่าวปรากฏออกไปในสื่อมวลชน ซึ่งถือเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อประชาชนที่จะเข้ามารักษาในโรงพยาบาลด้วย

นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายที่กำลังได้รับความสนใจจากประชาชนทั่วไป และพ่อค้าแม่ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลก็คือ นโยบายการเพิ่มสลากกินแบ่งรัฐบาล จาก 100 ล้านฉบับ เป็น 150 ล้านฉบับ และลดต้นขั้วให้เหลือ 50 บาท ซึ่งถือว่าสร้างกระแสให้กับพรรคไทยศรีวิไลย์ได้เป็นอย่างดี เพราะหลายรัฐบาลและหลายพรรคการเมืองต่างที่จะเสนอแก้ไขปัญหาให้กับการจำหน่ายสลาก โดยบีบบังคับให้ขายเพียง 80 บาท ซึ่งเชื่อว่า เป็นการแก้ปัญหาประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น แต่สำหรับตนถือได้ว่า เป็นการแก้ปัญหาแบบครบวงจร เพราะการเพิ่มการพิมพ์สลากฯ นั้น จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับผู้ค้าสลาก มากขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ค้ารายใหม่ ได้เข้ามามากขึ้น รวมทั้ง การหั่นราคาต้นขั้วให้เหลือ 50 บาทนั้น เป็นการตัดวงจรการแสวงหาผลประโยชน์จากหลายส่วนที่รุมทึ้งกันหาเศษหาเลย จนทำให้ราคาขายหวยแพงเกินจากที่ตั้งราคาไว้ 80 บาท ซึ่งตนเชื่อว่า พ่อค้าแม่ค้าสลากฯ ก็ไม่อยากทำผิดกฎหมาย แต่สุดท้ายต้องถูกจับเพื่อสร้างภาพโดยที่ไม่สามารถสาวไปถึงต้นตอได้ เพราะฉะนั้น การที่พรรคไทยศรีวิไลย์เสนอนโยบายนี้ ถือเป็นนโยบายที่เข้าใจหัวอกของคนไทยที่โยงใยกันด้วยสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งมีอยู่มาช้านานด้วย.

“ผมก็ต้องขอแสดงความเป็นห่วงประชาชนที่กลับมาจากเทศกาลสงกรานต์ เพราะขณะนี้ ไวรัสโควิด – 19 กลับมาระบาดเป็นวงกว้างแล้ว ซึ่งผมขอให้รีบไปตรวจ ATK โดยด่วน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตนเองและคนรอบข้างด้วย ส่วนผมเองขณะนี้อาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งคาดว่า หลังจากผมหายดีแล้ว ก็เริ่มลุยหาเสียงช่วยผู้สมัครของพรรคอย่างเต็มที่ ด้วยกำลังใจที่ดีจากพ่อแม่พี่น้องประชาชน  โดยจะลุยไปทั่วประเทศ โดยจะเน้นหนักในพื้นที่ 34 จังหวัด ที่พรรคไทยศรีวิไลย์ได้ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งจะมีกลยุทธ์ในการให้ประชาชนเลือกผู้สมัคร ส.ส.เขตของพรรคไทยศรีวิไลย์มากขึ้น เพราะที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าตนจะพยายามทำงานในสภาอย่างเต็มที่ แต่ด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย ผมจึงต้องอ้อนวอนให้พรรคอื่นๆ คล้อยตามด้วย จึงจะสามารถเสนอญัตติหรือเสนอร่างกฎหมายให้ประชาชนได้ และถ้าอยากให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีมาแก้ดูแลแก้ไขปัญหาประชาชนแล้ว ก็ต้องเลือกผู้สมัคร ส.ส.จากพรรคไทยศรีวิไลย์ด้วย เพราะลำพังการเลือกหมายเลข 42 อย่างเดียว ก็เกรงว่า คะแนนเสียงที่ได้ จะสามารถจัดสรรเป็นเก้าอี้ ส.ส. ได้ไม่กี่คนเท่านั้น แต่ถ้าประชาชนเลือกผู้สมัคร ส.ส.เขตของพรรคฯ ให้มากพอที่จะมาสนับสนุน ให้เป็นผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในการโหวตในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ผมก็จะมีโอกาสในการเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ประชาชนจะเลือกก็คือ นโยบายของพรรค เช่น นโยบายหลักประกันคนไทยเสียชีวิตทุกโรค 500,000 บาท รัฐบาลรับประกัน จะได้ไม่เดือดร้อนคนข้างหลัง การเอาผลประโยชน์จากธุรกิจผิดกฎหมายมาแปรสภาพเป็นเงินที่มาดูแลพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยถือเป็นการบีบบังคับพวกธุรกิจผิดกฎหมายให้อยู่อย่างลำบากมากที่สุด เพื่อหวังว่า ปัญหาเหล่านี้จะลดน้อยลง การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีสิทธิเท่าเทียมกันทางกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตั้งสำนักงานทนายแห่งรัฐขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนทั่วไปที่มีความรู้ทางกฎหมายน้อย และไม่มีเงินจ้างทนายมาต่อสู้คดีได้ และ นโยบาย การเพิ่มสลากกินแบ่งรัฐบาล จาก 100 ล้านฉบับ เป็น 150 ล้านฉบับ และลดต้นขั้วให้เหลือ 50 บาท  ซึ่งเป็นล่าสุดที่ถือว่าโดนใจประชาชนและจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนไทยผู้สิทธิ์เลือกตั้ง เลือกทั้งคนทั้งพรรค ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้  ” นายมงคลกิตติ์กล่าว

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published.