กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ หรือ “ILINK” เปิดกลยุทธ์ในการรุกตลาดสายสัญญาณ เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยการออกผลิตภัณฑ์สายสัญญาณรุ่นใหม่ Low Smoke Zero Halogen (LSZH) ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และผลิตภัณฑ์สายใยแก้วนำแสงแบบ Hybrid ที่สามารถใช้ติดตั้งได้ทั้งภายนอกและภายในอาคาร (Outdoor/Indoor) อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์สายใยแก้วนำแสงรุ่นพิเศษที่มีเกาะป้องกันสัตว์กัดแทะ (ARSS) ซึ่งสามารถนำไปติดตั้งบนเสาไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องมีสายสลิงช่วยยึด และสามารถนำไปติดตั้งฝังในท่อ หรือ ฝังใต้ดินได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาน้ำซึม และแรงกระแทก นอกจากนี้ ก็มีผลิตภัณฑ์สายโซลาร์เคเบิล (Solar Cable) ภายใต้แบรนด์ LINK จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสายไฟฟ้าสำหรับใช้เชื่อมกับแผงโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) เพื่อจ่ายไฟฟ้าภายในบ้าน โดยผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการทดสอบจากสถาบันชั้นนำของโลกว่าสามารถกันน้ำตามมาตรฐาน AD8 ทำให้สามารถนำไปติดตั้งในแผงโซลาร์ลอยน้ำ (Solar Floating) ได้ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการไฟฟ้านครหลวงตลอดมา
สำหรับตลาดที่ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Distribution) มีแผนบุกเพิ่มในปี 2566 นี้ คือตลาดกลุ่มห้างสรรพสินค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง (Modern Trade) ได้แก่ ไทวัสดุ โกลบอลเฮ้าส์ เมกาโฮม ดูโฮม โฮมโปร ฮาร์ดแวร์เฮ้าส์ และฮาร์ดแวร์คิง ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการจัดทำโปรแกรม International Distributor เพื่อนำสินค้าแบรนด์ LINK จากประเทศสหรัฐอเมริกา และสินค้าแบรนด์ GERMAN RACK ไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนลาว ประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐมัลดีฟส์ อีกทั้ง จัดให้มีงานสัมมนาระบบ Structure Cabling ของ Smart City และ Intelligent Building เพื่อตอกย้ำตลาดสายสัญญาณสำหรับโครงการ Smart City และการนำสายสัญญาณไปติดตั้ง เพื่อทำให้อาคารสูงสามารถตอบโจทย์ชีวิตวิถีใหม่ของสังคมเมือง
ส่วนธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Engineering) ซึ่งมีลูกค้าหลักรายใหญ่ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นั้น ในปี 2565 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ชนะการประกวดราคางานก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า มูลค่า 1,786 ล้านบาท และยังรับความไว้วางใจเป็นผู้จัดหาสายสำรอง Spare part ของสายเคเบิลใต้น้ำให้โครงการที่ติดตั้งแล้วเสร็จ รวมมูลค่าอีกกว่า 67 ล้านบาท โดยนับจากนี้เป็นต้นไป กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ มั่นใจว่าจะสามารถก้าวไปเป็นที่ 1 ในโครงการสายเคเบิลใต้น้ำของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่กำลังจะเปิดประมูลในเดือนมีนาคม 2566 นี้อีก 2 โครงการได้ โดยแต่ละโครงการมีมูลค่าประมาณ 800 – 1,800 ล้านบาท อีกทั้งกำลังศึกษาที่จะเข้าร่วมการประมูลงานโครงการ Micro Grid ซึ่งจะนำมาใช้ในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้พื้นที่ห่างไกล หรือ บนเกาะที่ยังไม่มีกระแสไฟฟ้าอีกด้วย
นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการกลุ่มบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีรายได้รวม 7,095.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 985.70 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 16.13% เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งแยกเป็น (1) รายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณจำนวน 2,514.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 339.86 ล้านบาท หรือเติบโต 15.63% โดยมีกำไรสุทธิ 207.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.43 ล้านบาท หรือเติบโต 15.86% (2) รายได้จากธุรกิจวิศวกรรมโครงการจำนวน 1,150.22 ล้านบาท ลดลง 278.29 ล้านบาท หรือลดลง 19.48% โดยมีกำไรสุทธิ 63.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.14 ล้านบาท หรือเติบโต 21.28% และ (3) รายได้จากธุรกิจโทรคมนาคมจำนวน 3,430.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 924.13 ล้านบาท หรือเติบโต 36.87% โดยมีกำไรสุทธิ 286.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.50 ล้านบาท หรือเติบโต 13.68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับกลยุทธ์ของธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Distribution) ภายใต้กลุ่มบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนนั้น ปี 2566 นี้จะยังคงตอกย้ำจุดยืนด้านคุณภาพ และการมีสต๊อกสินค้าที่มากเพียงพอ รองรับการขยายตัวเพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตมากกว่า 10% หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ได้คลี่คลายลงแล้วในปัจจุบัน รวมทั้งยังจัดให้มีการอมรมสัมมนาให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอกย้ำคุณภาพระบบสายสัญญาณของแบรนด์ LINK จากประเทศสหรัฐอเมริกา อาทิ การออกแบบระบบสายสัญญาณเพื่อโครงการ Smart City การออกแบบ และเลือกใช้สายสัญญาณสำหรับอาคารอัจฉริยะ การเลือกใช้สายสัญญาณเพื่อสร้าง Data Center การเลือกใช้สายสัญญาณในโรงแรม และรีสอร์ทให้รองรับเทคโนโลยีอนาคตได้ เป็นต้น
จากการวางยุทธศาสตร์ของกลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ที่เน้นการเติบโตแบบต่อเนื่อง และยั่งยืนจึงทำให้ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Distribution) มีฐานลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศมากกว่า 30,000 ราย และมีฐานรายได้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ทำให้คาดการณ์ได้ว่าในปี 2566 จะมีรายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Distribution) เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10 – 15% ในขณะที่มีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากเดิม 8% เป็น 9%
ส่วนธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Engineering) ยังมีโครงการที่คงค้างในมือ (Backlog)ณ สิ้นปี 2565 จำนวนอีกกว่า 2,100 ล้านบาท ทำให้สามารถรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปอีก 2 ปี โดยโครงการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นงานคุณภาพ กล่าวคือ เป็นโครงการที่กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ มีความเชี่ยวชาญและความชำนาญ จึงสามารถคาดการณ์ได้ว่าในปี 2566 – 2567 จะสามารถรับรู้รายได้ประมาณปีละ 1,200 ล้านบาท รวมทั้งสามารถบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรสุทธิสามารถปรับจากเดิม 5% เพิ่มขึ้นเป็น 8% ได้อย่างแน่นอน
สำหรับธุรกิจโทรคมนาคม และดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom) ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด(มหาชน) : ITEL (บริษัทลูก) ภายใต้การบริหารงานของ คุณณัฐนัย อนันตรัมพร (CEO) และมีบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) : ILINK เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สัดส่วนร้อยละ 49.99 นั้น จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัทลูก ITEL มีความถโดดเด่นในการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของทั้งรายได้และอัตรากำไร กลุ่มบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ฯ จึงวางแนวทางให้ ITEL เป็นบริษัทเทคโนโลยีของคนรุ่นใหม่ และเป็น Growth Stock ซึ่งในปี 2566 นี้ มีแผนงานการเติบโตที่น่าตื่นเต้นทั้งรายได้ และอัตรากำไร หากนักลงทุนสนใจ ก็สามารถเจาะลึกธุรกิจและการเติบโตของ ITEL ได้จากคุณณัฐนัย CEO โดยตรงในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ซึ่งเข้าร่วมเป็นประจำทุกไตรมาส
ด้วยการสนับสนุนของ 3 ธุรกิจดาวรุ่งที่มีพื้นฐานการสร้างรายได้แบบ Recurring และ Backlog คุณภาพ ทำให้กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนสอดคล้องกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การประกาศปรับเพิ่มนโยบายการจ่ายปันผล จากเดิมในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 เป็น ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการนั้น ก็จะทำให้ ILINK สามารถจ่ายเงินปันผลที่ดีสม่ำเสมอแก่ผู้ถือหุ้นทุกท่าน ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของหุ้นปันผล หรือ หุ้น Dividend Stock ที่พร้อมจะเติบโตต่อเนื่อง และยั่งยืนไปพร้อมกับนักลงทุนในระยะยาวต่อไป